วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทานปลาหมึก...เพื่อสุขภาพ

ทำไมถึงต้องเป็นเรื่องนี้ละคะเพื่อนๆ ทำไมต้องทำความรู้จักกับปลาหมึก แล้วเจ้าปลาหมึกมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องสุขภาพกับความงามของเพื่อนๆจริงไหมค่ะ ก็เพราะคนไทยยังเชื่ออะไรที่ผิดๆอยู่ยังไงละคะ แต่ผู้เขียนไม่ได้หมายถึงทุกคนนะคะ วันนี้ผู้เขียนจะขอแนะนำเพื่อนๆให้รู้จักกับปลาหมึกกันมากขึ้นอีกนิดนะคะ

โดยทั่วไปนั้นคนส่วนใหญ่มักคิดกันเสมอว่าการรับประทานอาหารทะเลนั้น จะทำให้ร่างกายได้รับคลอเรสเตอรอลสูง ไม่อยากจะไปเสี่ยงกับโรคความดัน หรือไขมันในเส้นเลือดที่ก่อให้เป็นโรคหัวใจได้ เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้วจึงไม่กล้าที่จะรับประทานอาหารทะเลเท่าไหร่ หรืออาจจะเลือกรับประทานในปริมาณที่น้อย ซึ่งก็มีปลาหมึกรวมอยู่ในอาหารประเภทนี้ด้วย ผู้เขียนเลยอยากให้เพื่อนๆทำความรู้จักกับปลาหมึกเสียใหม่ค่ะ

เพื่อนๆ ทราบกันไหมคะว่า ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานปลาหมึกสดๆกันมาก เพราะเขารู้ยังไงละคะว่าปลาหมึกมีคลอเรสเตอรอลสูง (เอ้า รู้ว่ามีแล้วยังจะรับประทานเข้าไปอีกแนะ) ยังอธิบายไม่จบคะ คนญี่ปุ่นเขารู้ว่ามีคลอเรสเตอรอลสูงก็จริง แต่เขาก็ยังรู้อีกว่า เจ้าปลาหมึกเนี่ยะยังมีโอเมก้า 3 ที่ช่วยต่อต้านคลอเรสเตอรอลไม่ให้เพิ่มขึ้น อีกทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างของการทำงานในส่วนสมอง ตับ และประสาท สังเกตจากผลวิจัยต่างๆ คนญี่ปุ่นไม่ค่อยมีใครเป็นโรคเกี่ยวกับคลอเรสเตอรอล หรือโรคความดัน, หรือโรคหัวใจเหมือนกับคนไทย ผู้ป่วยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ที่ทานปลาหมึก ยังมีผลพิสุจน์ออกมาว่ากรดไขมันโอเมก้า3 ในร่างกายนั้นลดลงอีกด้วยนะคะ

เห็นแล้วใช่ไหมคะเพื่อนๆ ว่าปลาหมึกนั้นมีกรดไขมันที่ช่วยในเรื่องสมองเราโดยตรงเลยทีเดียว อีกข้อหนึ่งถ้าเพื่อนๆสังเกตอะไรบางอย่าง ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงได้มีหน้าตาที่ดูอ่อนกว่าวัย ไม่เหมือนคนไทยเราบางคนที่อายุไปก่อนหน้าตา ไม่ใช่ทุกคนนะคะ ข้อนี้เป็นสมมุติฐานนะคะ ลองสังเกตดูได้คะ

อีกอย่างที่ผู้เขียนมีความคิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะครั้งหนึ่งเคยสงสัยว่ากินปลาหมึกเยอะๆ มันจะเป็นอะไรไหมนะ (กลัวจะตายเพราะปาก) เพราะตัวผู้เขียนเองเป็นคนที่ชอบกินปลาหมึก มั๊ก..มาก ตั้งแต่เด็กเลยละนะเท่าที่จำความได้ก็เริ่มจากหมึกแห้งก่อน ไม่ว่าไปที่ไหนก็จะเสาะแสวงหามันมาให้ได้ ขายอยู่มุมไหนก็จะตามไปซื้อ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คงเป็นเพราะคุณแม่ของผู้เขียนที่ปลูกฝังให้ตั้งแต่เด็กหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับนิสัยการกินของเราด้วย เพื่อนๆว่าจริงไหมคะ ต่อให้มีเยอะแค่ไหน ถ้าเราไม่ชอบก็คงไม่เลือกที่จะกินมันเป็นแน่ แต่ที่หนักสุดก็ตอนโตหลังอายุ 18 จนถึงปัจจุบันนี่แหล่ะคะ จัดหนักเรื่องของหมึกสดเลย แต่รับประทานสุกนะคะ เพราะว่าสมัยนั้นมันราคาถูกค่ะ

เอาหล่ะ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เพื่อนๆก็ทานปลาหมึกได้อย่างสบายใจกันแล้วนะคะ แต่ก็อย่าหักโหมทานนะคะ เพราะอะไรที่มากไปหรือน้อยไป ก็ใช่ว่าจะมีผลดีไปซะทุกอย่างค่ะ ที่สำคัญในการรับประทานปลาหมึก ต้องเลือกให้ดีนะคะ เพราะอาจจะมีสารต่างๆที่ทางผู้ขายใส่ลงไปด้วย เช่นปลาหมึกกรอบหรือจะเป็นปลาหมึกสดๆ จะมีสารฟอร์มาลีน โดยฝีมือของ”คน”นั้นเองคะ

ถ้ามองตามเรื่องจริงๆแล้ว ปลาหมึกไม่ใช่สิ่งที่ไปทำร้ายใครแต่มนุษย์เราเองนี่แหละนะ ที่ทำร้ายกันเอง เพื่อนๆว่าจริงหรือเปล่าค่ะ ยังไงก็เลือกทานเพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ อีกอย่างจะได้มีหน้าตาที่เต่งตึงบ่งบอกว่าคุณยังไม่แก่ยังไงละคะ (จริงๆนะ) ได้ทั้งสุขภาพและยังคงไว้ซึ่งความสวยงามของใบหน้าได้ด้วยค่ะ

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รอยแผลเป็น...ทำลายผิวสวย

ผู้เขียนเชื่อว่าหลายๆคนที่กำลังอ่านบทความเรื่องนี้อยู่คงเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องรอยแผลเป็นกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อยใช่ไหมค่ะ พูดถึงรอยแผลเป็นแล้ว เพื่อนๆคงทราบกันดีว่ารอยแผลเป็นต่างๆนั้นทำลายผิวของคุณให้หมดสวย จนกลายเป็นที่ต้องเป็นรอยแผลใจเราไปด้วยเลยละค่ะ

รอยแผลเป็นนั้นที่จริงระบบร่างกายของเราจะมีการผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอกอยู่แล้ว หรือเรียกว่าเซลล์ผิวหนังกำพร้า ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเมื่อผิวชั้นในได้ผลิตเซลล์ผิวใหม่ๆ ขึ้นมา เซลล์ผิวหนังกำพร้าก็หมดความสำคัญ (พูดซะหน้าน้อยใจ) เปล่าหรอกค่ะ หมายถึงว่าเขาหมดหน้าที่ในการปกป้องผิวของคุณแล้วและจะมีผิวหนังใหม่ที่มาทำหน้าที่ปกป้องคุณต่อไปเอง

การที่ทำไมคนเราจึงมีรอยแผลเป็น เพราะว่าผิวถูกทำร้ายจนถึงเซลล์ผิวชั้นลึก ทำให้ยากต่อการกลับมาเป็นผิวที่ปกติเหมือนเดิม สาเหตุต่างๆ เช่น แผลที่เกิดจากการโดนของมีคมบาด เกิดรอยแผลเป็นที่ลึก แต่เมื่อตอนที่โดนบาดนั้นแผลผ่านไปสัก 1-2 วัน ถ้าแผลไม่ลึกก็จะสมานได้เอง แต่ถ้าแผลลึกถึงชั้นผิวข้างในมาก ก็อาจจะต้องใช้เวลานาน บางคน 20 วัน- เดือนกว่าๆ เลยก็มี แต่แผลพวกนี้ ช่วงที่กำลังสมานปากแผล อาการหนึ่งที่เพื่อนๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนั้นก็คือ “คัน” แล้วก็อดไม่ไหวที่จะเกา แล้วเมื่อเกาหนักเข้า (ยิ่งเกายิ่งมัน ประมาณนั้น) ทำให้ปากแผลนั้นฉีกได้ แทนที่จะหายเร็วๆกลับต้องเริ่มใหม่อีก แล้วมือหรือเล็บ ที่สกปรกก็นำมาซึ่งเชื้อโรค 

เพื่อนๆรู้ไหมคะว่าเชื่อแบคทีเรียต่างๆ มีทั้งร้ายแรงและไม่ค่อยร้ายแรงแล้วถ้าโชคไม่ดีเจอเชื่อแบคทีเรียที่ร้ายแรง ก็ย่อมไปทำร้ายแผลของเราได้ คราวนี้ก็ไม่ต้องหายกันล่ะคะ เกิดรอยเป็นแผลเป็นไว้ให้เราคอยเตือนใจอีกต่างหาก จะได้จำไว้ว่าทีหลังอย่าได้เผลออีก อดทนหน่อยเพื่อให้ร่างกายได้ทำหน้าที่ของมันเอง ไม่ช่วยแล้วยังรุมทำร้ายผิวตัวเอง จึงนำมาซึ่งรอยแผลในใจยังไงล่ะคะเพื่อนๆ

เพราะฉะนั้นเพื่อนๆคนไหนที่อยากมีผิวสวยปราศจากริวรอยจากแผลเป็น ผู้เขียนแนะนำให้เพื่อนๆใช้ชีวิตอย่างระวังไม่ประมาทกับอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อนะคะ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็นำมาซึ่ง “แผลเป็น” ได้เสมอค่ะ

โดยเฉพาะเรื่องสิวก็เหมือนกันไม่ต้องไปแกะไปเค้น เดี๋ยวจะได้รอยแผลเป็นมาดูต่างหน้าเมื่อเจ้าสิวนั้นจากไปนะคะ ส่วนเพื่อนคนไหนที่เป็นแผลเป็นแล้วก็อย่าลืมหายามาทาเผื่อให้แผลเป็นเพื่อนๆดีขึ้น หรือทะเลาลงเพื่อผิวสวยของเพื่อนๆ นะคะ

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรื่องสิวๆ...ที่ไม่สิว

เป็นกันบ้างหรือเปล่าค่ะ “สิว” เพื่อนๆบางคนคงกำลังคิดว่าผู้เขียนเพี้ยนไปแล้ว ใครจะไม่เป็นสิว ถามอะไรแปลกๆ เหอะๆไม่แปลกหรอกคะที่ถามไปนั้นอยากให้เพื่อนๆได้คิดตามคำถามนะคะ อ๊ะ…ยังไง เริ่มสงสัยบ้างหรือยัง ถ้าสงสัยก็เชิญอ่านต่อได้เลยคะ

“เป็นกันบ้าง” ก็คือ ให้เป็นสิวกันบ้าง เพราะว่าร่างกายเรานั้นกำลังจะบอกอะไรนั่นเอง เพราะการเป็นสิวนั้นบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตของร่างกาย ซึ่งพอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นผู้หญิงหรือผู้ชายก็จะมีสิวขึ้นที่ผิวโดยเฉพาะผิวหน้า ที่เรียกกันว่าสิวสาวนั้นเองคะ แต่ที่ส่วนใหญ่ผู้หญิงมีสิวน้อยกว่าผู้ชาย 

เพราะว่าผู้หญิงเรานั้นมีการถ่ายเลือดในรอบเดือนที่เรียกว่าประจำเดือน ทำให้ช่วงที่ได้ถ่ายเลือดเสียและของเสียออกมาพร้อมๆกับประจำเดือนนั้น ทำให้ผิวพรรณของผู้หญิงดูมีน้ำมีนวลและเปล่งปลั่งและยังช่วยลดการเป็นสิวลงได้ด้วยคะ สังเกตได้เลยก่อนที่ประจำเดือนยังไม่มานั้น หน้านี้แทบไม่ต้องบรรยายเลยจริงไหมค่ะ 

ส่วนผู้ชายไม่ได้มีประจำเดือนเหมือนผู้หญิง แล้วจะทำยังไงได้แต่ผู้ชายเป็นเพศที่ต้องใช้กำลัง เมื่อร่างกายได้รับการเผาผลาญต่างๆ จากกิจกรรมทั้งวัน ทำให้ได้เหงื่อนั่นเอง จึงเป็นการขับสารพิษออกนอกร่างกายได้เช่นกันแต่ก็ได้ไม่มาก จึงทำให้ผู้ชายเป็นสิวเยอะกว่านั่นเองคะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้า การใช้ผ้าเช็ดหน้า มลภาวะของอากาศ รวมทั้งสภาพผิวที่มันด้วยค่ะ

เมื่อเป็นสิวจะทำยังไงดี ต่างก็เครียด ยิ่งสาวๆหรือหนุ่ม ที่แอบชอบใครยิ่งเป็นปัญหาใหญ่เลย อย่าไปวิตกคะ เพราะถ้าเรายิ่งเครียดยิ่งส่งผลต่อสภาพใบหน้าทำให้เป็นสิวเยอะขึ้นกว่าเดิม บางคนก็จะพยายามบีบ แกะ เค้นสิวให้หลุดออกไป 

ซึ่งนอกจากเพื่อนจะไม่หายแล้วสิวที่เม็ดเล็กๆในคราวนั้น อาจจะเป็นสิวแผลอักเสบตามมา กว่าจะหายได้ก็ต้องยืดเวลาออกไปอีกเผลอๆไม่หายธรรมดา ทิ้งท้ายด้วยการฝากรอยแผลเป็นและจุดด่างดำไว้ให้ดูต่างหน้า แสดงผลลัพธ์ให้เพื่อนๆได้รู้ถึงการไปกำจัดเขาออกจากผิว โดยที่มันยังไม่ถึงเวลาอันควร

แต่ถึงอย่างไรเมื่อเราอายุมากขึ้นนั้น สิวต่างๆที่เคยมีก็จะค่อยๆหายไป เพราะว่าร่างกายและฮอร์โมนต่างๆ ก็จะลดลงไปตามอายุเรานั้นเองคะ พอถึงเวลานั้นก็จะชอบเรียกร้องอยากเป็นสิวกัน เพื่อให้แสดงถึงว่าเรายังไม่แก่นะ ว่าไปนั่น (แต่มีคนที่เป็นแบบนั้นจริงๆ นะคะเพื่อนๆ พูดเป็นเล่นไป) เรื่องสำคัญตอนนี้ยังไม่แก่ก็ดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้สิวบนใบหน้าเราที่มีตอนอายุมากนั้นเป็นแค่แผลเป็นหรือ จุดด่างดำให้คร่ำครวญใจเล่น จึงเป็นที่มาของคำว่า...เรื่องสิวๆที่ไม่สิวนะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทำงานบ้านเพลิน Burn !! แคลอรี่

ถ้าขึ้นชื่อว่า “งานบ้านแล้ว” เพื่อนๆที่แห่งนี้ ไม่ทราบว่าชอบทำงานบ้านกันบ้างหรือเปล่าค่ะ หรือบางคนมัวแต่ทำงานจนแทบจะไม่มีเวลาในการดูแลเรื่องงานบ้านเลย อาจจะให้คนที่อยู่บ้านช่วยทำแทน (เป็นงั้นไป) หรือบางคนทำงานเหนื่อยมาทั้งสัปดาห์ พอถึงวันหยุดอาจจะมีเพียง 1-2 วัน ก็ต้องมานั่งทำงานบ้านหัวฟูเลยทีเดียว การทำงานบ้านนั้นอย่าทำจนหักโหมนะคะ ต้องค่อยๆทำ อย่าทำทั้งหมดเลยซะทีเดียว เดี๋ยวจะทำให้เรารู้สึกว่างานบ้านเป็นสิ่งน่าเบื่อ แล้วละเลยหรือเกี่ยงการทำงานบ้านไปเลยก็ว่าได้
วิธีจัดการกับ “งานบ้าน”

ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนไม่ค่อยได้มีเวลา ส่วนมากทำงานกว่าจะกลับบ้านก็เย็น และเหนื่อยกับงานมาทั้งวัน ทำให้ไม่ไหวที่จะทำงานบ้านต่อแค่นึกขึ้นมาว่าจะเริ่มจากตรงไหนก็แย่แล้ว ฉะนั้นคุณควรที่จะจัดตารางการทำงานบ้านเป็นวันๆไป อย่าทำทีเดียวนะคะ และการทำงานบ้านจะไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไปถ้าเพื่อนๆ รู้ถึงข้อดีและประโยชน์ของมันค่ะ

กวาดบ้าน เลือกทำในตอนกลางคืนก่อนอาบน้ำหลังกลับจากที่ทำงานก็ได้ค่ะ เพราะกวาดบ้านในเวลาตอนเย็นๆแล้ว ตกกลางคืนฝุ่นจะไม่ค่อยมี พอผ่านเวลากลางคืนไปบ้านก็จะยังคงสะอาดอยู่ อาจจะใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อช่วยทุ่นแรงเราด้วยก็ได้ค่ะ ทำแค่นี้เพื่อนๆก็สามารถ Burn พลังงานได้โดยประมาณ 376-752 แคลอรี่เลยนะคะ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆน้ำหนักตัวเท่าไหร่และเครื่องทุนแรงมีน้ำหนักมากแค่ไหนบวกกับการออกแรงด้วยคะ

ถูบ้าน เลือกทำตอนเช้าก่อนอาบน้ำ เพราะนอกจากจะเป็นการออกกำลังกายแล้วยังทำให้คุณกระปรี้กระเปร่า เลือดลมไหลเวียนได้ดี และรู้สึกตื่นตัวในการทำงานของวันใหม่อีกด้วยค่ะ การถูบ้านนั้นสมัยนี้ส่วนมากก็น่าจะยืนถู เพื่อนๆทราบหรือเปล่าค่ะว่า ร่างกายเราใช้พลังงานในการเผาผลาญ แค่เวลาครึ่งชั่วโมงที่เพื่อนๆถูบ้านด้วยวิธียืนถูนี้ ถึง 100-200 แคลอรี่เลยทีเดียวค่ะ ถ้าอยากให้เยอะกว่านี้ก็ คุกเข่าถูไปเลยโดยใช้มือค่ะวิธีนี้จะใช้พลังงานอยู่ที่ 111-222 แคลอรี่เลยแหล่ะ

การล้างจาน ข้อนี้แนะนำว่าเพื่อนๆไม่ควรแช่จานที่ใช้ใส่อาหารทิ้งไว้นะคะ เพราะจะเป็นการสร้างนิสัยให้เราขี้เกียจได้ แล้วแถมยังส่งกลิ่นเหม็นทำให้เสียบรรยากาศอีกด้วยค่ะ แต่ถ้าเป็นพวกสิ่งของที่ล้างยากก็ไม่จำเป็นต้องรีบล้างเดี๋ยวนั้น จะทำให้คุณเหนื่อยง่าย เพื่อนๆรู้หรือเปล่าค่ะว่าแค่ล้างจานร่างกายเราใช้พลังงานไปถึง 60-120 แคลอรี่ ต่อเวลาครึ่งชั่วโมงได้เลยนะคะ

ซักผ้า การซักผ้าสมัยนี้ส่วนมากก็จะเป็นเครื่องซักแทนซะมากกว่า คงไม่เหนื่อยกันเท่าไหร่ใช่ไหมค่ะเพื่อนๆ ทราบไหมค่ะว่าร่างกายเราใช้พลังงานตั้ง 70-100 แคลอรี่ ในการเผาผลาญพลังงานเลยทีเดียว ก็แค่แยกผ้า คลี่ผ้าตาก เอาผ้าใส่ถังแค่นี้เอง แต่จะใช้พลังงานเยอะกว่านี้ถ้าเพื่อนๆ ซักในปริมาณที่มากๆ และชอบทำอะไรเร็วๆ

การล้างรถ เรื่องแบบนี้น่าจะยกให้เพื่อนๆคุณผู้ชายนะคะ ร่างกายเราต้องการพลังงานในส่วนนี้ 150 แคลอรี่ ในการล้างรถครึ่งชั่วโมง ถ้าเพื่อนๆพอมีเวลาก็ควรจะลงแว็กซ์ขัดเงา เพื่อให้ร่างกายได้รับการเผาผลาญที่มากขึ้นก็ได้นะคะ (ถ้าไม่เหนื่อยนะ)

เห็นข้อดีของการทำงานบ้านกันหรือยังค่ะ ว่าสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้เยอะๆแค่ไหน นอกจากเพื่อนๆจะได้บ้านที่สะอาดเป็นระเบียบแล้วยังได้สุขภาพที่ดีด้วยค่ะ แม้แต่บางครั้งการที่เราเคลื่อนตัวไว เดินเร็ว ก็ช่วยในเรื่องนี้ได้ดี สังเกตจากคนที่อ้วนดูก็ได้ค่ะ ว่าส่วนมากเขาค่อยข้างจะเคลื่อนตัวช้าหรือชอบทำอะไรช้าๆ เอื่อยๆ ทำให้ร่างกายไม่ค่อยได้มีโอกาสเผาผลาญแคลอรี่ ต่างจากคนที่ผอมค่ะ เพราะในแต่ละวันคนเรารับประทานอาหารเข้าไปแล้วก็ควรที่จะเผาผลาญและนำไปใช้บ้างไม่อย่างนั้นจะเกิดการสะสมเยอะขึ้นทุกวันๆ เพราะการที่ร่างกายได้รับแคลอรี่มากกว่าปริมาณที่ใช้ไป แล้วมันจะไปไหนเสียละค่ะ แน่นอนค่ะเจ้าแคลอรี่นี้ก็ไปเกาะตามต้นแขน ต้นขา และหน้าท้องของเรานั่นเองค่ะ เห็นไหมค่ะเพื่อนๆ อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีใช่ไหมค่ะ งั้นเรามาเริ่มลดน้ำหนักด้วยการทำงานบ้านกันดีกว่าค่ะ แถมเรายังได้บ้านที่สะอาดกลับมาด้วยนะ

อาบน้ำอย่างไร...ให้ผิวสวย

ใครอ่านบทความนี้คงกำลังคิดอยู่แน่เลยใช่ไหมค่ะ ว่าการอาบน้ำง่ายจะตายแล้วทำไมต้องมีวิธีอาบด้วยเหรอ แล้วไม่ทราบว่าเพื่อนๆ แต่ละคนอาบน้ำกันวันละกี่ครั้งค่ะ เพราะประเทศไทยถือเป็นเมืองร้อน เราจึงต้องอาบน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายเพื่อให้ร่างกายสะอาดปราศจากเชื้อโรค ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ ซึ่งการอาบน้ำเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ด้วย ถ้าสงสัยเกี่ยวกับการอาบน้ำที่ถูกวิธีหล่ะก็ ในที่นี้ผู้เขียนจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะนะคะ ลักษณะแรกจะกล่าวถึงเรื่องของน้ำที่ใช้อาบค่ะ ส่วนลักษณะที่ 2 เกี่ยวกับวิธีการอาบน้ำค่ะ เชิญเพื่อนๆตามมาอ่านต่อได้เลยค่ะ

1.ประเภทของน้ำที่ใช้อาบ

- น้ำอุ่น เหมาะกับผู้ป่วยที่กำลังมีไข้ เพราะคนพวกนี้เจอน้ำเย็นไม่ได้เดี๋ยวไข้กลับ และคนที่มีผิวประเภทผิวธรรมดา และผิวมัน ส่วนคนที่มีผิวแห้งไม่ควรอาบน้ำอุ่นนะคะ และสำหรับคนที่จะอาบน้ำอุ่นก่อนอื่นเลย ควรดื่มน้ำก่อนอาบน้ำ 1แก้ว เพื่อเปิดรูขุมขนของร่างกาย น้ำอุ่นช่วยให้ความรู้สึกปลอดโปร่งทำให้มีสมาธิและจิตใจสงบ แต่ก็ไม่ควรอาบนานมาก ครั้งนึงอาบสัก 20 นาทีก็พอ เพราะจะทำให้ผิวแห้งและหัวใจเต้นเร็ว หลังจากที่อาบเสร็จก็ควรบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยทำหน้าที่ทดแทนความชุ่มชื่นของผิวที่หายไปเวลาเราอาบน้ำ

- น้ำเย็น ส่วนมากแล้วเมื่อเจออากาศที่ร้อนๆ เมื่อเจอน้ำที่เย็นๆ คุณก็รู้สึกว่ามันสดชื่นในเวลาที่ได้อาบ แต่ก็ควรปรับร่างกายให้ทันต่ออุณหภูมิของน้ำด้วยนะ โดยการที่เพื่อนๆให้แขนหรือขาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายค่อยๆสัมผัสกับน้ำก่อน แล้วค่อยอาบทั้งตัว น้ำเย็นสดชื่นกระตุ้นให้คุณรู้สีกว่าผิวมันเต่งตึงทันทีที่โดนน้ำเย็นๆ เพราะว่าการหมุนเวียนเลือดของเรานั่นเองที่จะรีบมาช่วยกันมาสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายเรา หลังจากนั้นก็ตามด้วยสบู่หรือครีมอาบน้ำถูเบาๆจากปลายเท้าขึ้นมาที่ท้อง และส่วนที่เป็นข้อต่อของกระดูกก็อาจจะใช้ครีมขัดผิวกายด้วยก็ดีค่ะ นวดและขัดทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีเพราะครีมเหล่านี้มีส่วนผสมของสมุนไพรให้ผิวของคุณได้ผ่อนคลายและยังมีกลิ่นที่หอมอีกด้วย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นผิวของคุณและลดความหยาบด้านลงได้ และหลังจากที่อาบเสร็จก็ลองยืดแขนยืดขาช้าๆดู เพราะจะช่วยให้รู้สึกดีทีเดียว

- น้ำร้อน จะช่วยให้การนอนหลับสนิทเพราะจะช่วยเพิ่มอุณหภูมิภายในร่างกาย ช่วยในเรื่องของความเหนื่อยล้าจากการทำงานมลภาวะต่างๆ รวมถึงความเครียดซึ่งน้ำร้อนจะช่วยให้คลายกล้ามเนื้อทุเลาสิ่งต่างๆเหล่านี้ ลงได้ จึงทำให้คุณได้ผ่อนคลาย หลังจากที่อาบน้ำร้อนเสร็จแล้วนั้นร่างกายเย็นลง เมื่อเราพักผ่อนก็จะนอนหลับได้อย่างสนิทแต่อย่าไปอาบนาน ใช้เวลาเพียง 10นาทีก็พอแล้ว เพราะน้ำร้อนมีผลต่อผิวที่เร็วทำให้ผิวเราแห้งเหี่ยวขาดความชุ่มชื่นได้ง่าย อาบเสร็จก็บำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ เหมือนเดิมเพื่อเรียกค่าความชุ่มชื่น ของผิวกลับมา

2.วิธีการอาบน้ำ

- อาบด้วยฝักบัว หลายๆ คนก็คงอาบโดยวิธีนี้ ซึ่งการอาบด้วยวิธีนี้ เราจะได้รับแรงกระตุ้นจากกระแสน้ำที่ไหลผ่านฝักบัวเป็นสายน้ำ ซึ่งเพื่อนๆทราบกับไหมค่ะว่า สายน้ำที่ไหลจากฝักบัวนั้นช่วยลดไขมันในร่างกายได้ เพราะยิ่งถ้าเราเปิดน้ำแรงๆ ก็จะช่วยให้สายน้ำไล่ไขมันมารวมกันได้ค่ะ และเรายังสามารถสร้างสปา ในห้องน้ำเผื่อผ่อนคลายให้ตัวเราได้ด้วยการ หาสมุนไพรนำมาติดกับฝักบัวเวลาที่เราเปิดน้ำอาบก็จะได้กลิ่นหอมๆฟุ้งออกมาด้วยค่ะ ช่วยผ่อนคลายไปอีกแบบส่งเสริมให้หน้าตาผิวพรรณตื่นตัวได้อีกด้วย

- อาบโดยอ่างแช่ตัว แต่แนะนำว่าไม่ควรไปแช่นานเพราะหนีไม่พ้นเรื่องผิวแห้งอีก ควรแช่แค่ประมาณ 10 นาทีก็ออกมาขัดผิวนอกอ่างดีกว่าค่ะ จะได้มีสุขภาพผิวที่ดีอยู่เสมอ การอาบน้ำแบบนี้ก็จะสามารถคลายกล้ามเนื้อที่ได้รับแรงดันจากน้ำได้ ทำให้รู้สึกสบายไปอีกแบบ แต่สู้การอาบด้วยฝักบัวหรือขันไม่ได้หรอกค่ะ เพราะผิวจะไม่เปล่งปลั่ง เนื่องจากว่าความร้อนทำให้ผิวหยุดผลัดเปลี่ยนเซลล์นั่นเอง เมื่อขัดผิวนอกอ่างอาบน้ำเสร็จแล้วก็เริ่มกลับไปแช่อีกครั้ง โดยเริ่มจากเท้าก่อน แล้วค่อยๆ ไล่ระดับมาที่กลางตัว รอให้ร่างกายค่อยๆ อุ่นขึ้น อาจจะมี ยกแขน ขา เพื่อบิดเอวไปมาบ้างเล็กน้อยเป็นการผ่อนคลาย และไล่ระดับไขมันรอบเอวออกไปด้วย เมื่อเราเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยนั้น แต่ร่างกายเราอยู่ในน้ำมวลน้ำที่อยู่ในอ่างจะเพิ่มอุณหภูมิขึ้นเล็กน้อย ทำให้เรามีเหงื่อไหล่ออกมาได้บ้างเป็นการขับสารพิษในร่างกายอีกวิธีหนึ่งเช่นกันค่ะ

เอาหล่ะ ไม่ว่าจะอยากอาบน้ำแบบไหนเพื่อนๆเลือกปฏิบัติได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำคือไม่ควรอาบเกินวันละ 2 ครั้งเพื่อ ป้องกันผิวแห้งค่ะ และเมื่อออกกำลังกายเสร็จควรพักให้เหงื่อแห้งเสียก่อนสัก 1ชั่วโมง แล้วค่อยไปอาบชำระร่างกายจะได้หายเหนื่อย ควรอาบน้ำก่อนรับประทานอาหาร 1 ชั่วโมง และหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง เพราะถ้าหากอาบน้ำทันทีระบบประสาทก็จะสั่งให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังมากขึ้น ซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ยังไงลองทำตามกันสักหน่อยเพื่อสุขภาพที่ดีของเรานะค่ะ

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความงามที่พอเพียง

บนโลกของมนุษย์เรานั้น คำว่าพอเพียง ยังใช้ได้กับทุกเรื่องไหมคะ ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า “ไม่”แล้วทำไมถึงคิดเช่นนี้ ก็ขออธิบายตามนี้แล้วกันคะ

ความงามที่พอเพียงนั้น จริงๆ ก็ใช้หลักของการใช้ชีวิตที่เพียงพอเข้ามาควบคู่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคนเรา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านผิวพรรณของหน้าตา ,แขน,ขา,สะโพก,เอว เล็บมือ ฯลฯซึ่งล้วนแต่เป็นความงามที่อยู่ภายนอกทั้งนั้น ซึ่งคนทุกคนก็จะไม่มองข้ามอะไรที่เป็นภายนอกของตัวเอง และจะมองหาสิ่งอื่นที่ช่วยให้ความงามภายนอกนั้นดูดีอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งที่มักจะมองหากันนั้นก็คือ วิวัฒนาการด้านความงามต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถตอบโจทย์ปัญหาต่างๆ ของผิวพรรณความงามสำหรับคนที่กำลังเสาะแสวงหาอยู่นั้นได้ดีทีเดียว อีกอย่างคนรอบข้างเราก็มีส่วนทำให้คนอีกกลุ่มกลายเป็นมนุษย์ศัลยกรรมไปแล้วนักต่อนัก

เพราะความงามยอมกันไม้ได้ จนทำให้คนเรานั้นลืมในสิ่งที่เราเองมีมาตั้งแต่เกิด คือความงามที่มาจากรากฐานของความพอเพียง และแทบไม่ต้องไปเสียเงินทีเยอะๆเหมือนสถาบันความงามด้วย เพียงแต่ มนุษย์เรานั้นมักจะเลงเห็นสิ่งที่มาไว มาเร็ว ได้ผลเร็ว จนมองข้ามสิ่งที่เป็นอยู่จริงของชีวิต หรือสิ่งที่ต้องใช้เวลาควบคู่แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งซึ่งควรรักษาไว้ แต่มักมองข้ามกัน แล้วก็พากันไปรับบริการต่างๆ ที่ทันสมัยกว่า ความงามแบบพอเพียงที่ว่านั้น ก็หมายถึง สุขภาพที่เราได้รับจากการใช้ชีวิตโดยพึ่งพาสมุนไพรพืชผักเป็นอาหารการอยู่การกิน รวมทั้งใช้ชีวิตในแต่ละวันให้คุ้มค่า ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและคนอื่นเสมอเหมือนที่บรรพบุรุษเราปฏิบัติกันในสมัยก่อน

คนสมัยก่อนนั้น ไม่รู้จักคำว่า ครีมบำรุงผิว เพราะคนในสมัยก่อนอยู่กับชีวิตที่พอเพียง อยู่กับสมุนไพรต่างๆ ที่ทำขึ้นมาใช้กันเอง ทั้งใช้ดูแลผิวพรรณภายนอกส่วนภายในใช้โดยเป็นผักรับประทาน ก็มี ทำให้คนสมัยก่อนนั้นมีร่างกายที่แข็งแรง ไปพร้อมๆกับผิวพรรณที่เปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา ยิ่งสาวๆ หรือหนุ่มแรกแย้ม (หมายถึงว่ากำลังแตกเนื้อ) ผิวพรรณยิ่งผุดผ่อง มองแล้วก็จะพูดกันว่า แตกเนื้อหนุ่มหรือแตกเนื้อสาว นั่นเอง

อยากให้เพื่อนๆ ทุกคน รู้จักดูแลตัวเองโดยพึ่งหลัก ความพอเพียง เหมือนคนในสมัยก่อนดูบ้าง ไม่จำเป็นที่เรานั้นจะต้องไปพึ่งพา สิ่งที่เข้ามาในรูปแบบใหม่ต่างๆ เหมือนดาราที่นิยมกัน เพราะดาราเขาต้องใช้หน้าตาในการทำงาน ต่างจากคนทั่วๆไป ซึ่งถ้าลองปรับเปลี่ยนมุมมองของชีวิต นอกจากจะไม่ต้องจ่ายเงินแพงๆ แล้วเพื่อนๆ ก็จะคงไว้ซึ่งแนวพระราชบัญญัติของพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย เป็นการสนองแนวความคิด ของท่านที่ได้ ตั้งโครงการที่ชื่อว่า ความพอเพียงในการใช้ชีวิต ขึ้นมานั่นเอง

ปัจจัย..เร่ง ! ความแก่

ความแก่ หรือความชรา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนต้องเจอ แต่ก่อนจะเจอสิ่งเหล่านี้ เพื่อนๆได้มีส่วนทำให้ตัวเองแก่เร็วขึ้นหรือเปล่าหล่ะค่ะ มาดูกันเลยค่ะ

ละเลยระบบภูมิคุ้มกันของตัวเอง ระบบภูมิคุ้มกันถือว่าเป็นด่านแรกเลยที่จะปกป้องและป้องกันโรคร้ายต่างๆ เข้ามาสู่ร่างกายของเรา ดังนั้นการดูแลในเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน จึงเป็นวิธีป้องกันความแก่สิ่งแรกเลยที่ไม่ควรละเลย ระบบภูมิคุ้มกันก็ประกอบด้วย

- การกินอย่างฉลาด สรรหาอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน A ,B,C , E และธาตุเหล็ก ,สังกะสี,แคลเซียม,เซเลเนียม,และแมกนีเซียม จำพวกนี้เป็นต้นค่ะ

- พักผ่อนให้เพียงพออย่านอนดึกและควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าออกมากเกินไป ต้องดูร่างกายตัวเองด้วย เดี๋ยวจะเจ็บป่วยได้

- ลดปริมาณของหวาน เพราะน้ำตาลที่มีอยู่ในร่างกายเรามากเกินไป จะทำให้เซลล์เม็ดเลือกขาวบกพร่องและขาดประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้

- ความสะอาด ต้องล้างมือให้สะอาดเสมอโดยเฉพาะเวลาที่ออกมาจากห้องน้ำ ใช้ช้อนส้อมในการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการใช้มือหยิบจับของกิน เพราะเชื้อโรคมีอยู่ทุกที่

- มองโลกในแง่ดี พึงจำไว้เสมอว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่สิ่งที่คุณทำลาย แต่เป็นสิ่งที่กำลังทำลายคุณ (ข้อนี้สำคัญนะคะ)

งานทำให้คุณแก่หรือเปล่า เพราะถ้างานที่ทำให้คุณมีความเครียดสูง (นี่เป็นตัวเร่งความแก่อีกตัว)คุณควรหลีกเลี่ยงงานประเภทนี้ ถ้าลองฝึกตัวเองมาหลายวิธีแล้วไม่หายก็ ควรหางานใหม่ดีกว่า เพราะถ้าคุณยังทนทำงานที่ทำให้คุณเครียดอยู่หล่ะก็ มันจะส่งผลกระทบไปที่ร่างกายคุณทำให้เสียสุขภาพจิต ไม่อยากจะไปไหนทำอะไรหรือแม้แต่การไปออกกำลังกาย เมื่อเครียดมากๆ บางคนหาทางออกโดยการสูบบุหรี่(ทำร้ายตัวเอง) บางคนก็เก็บตัวเองอยู่คนเดียวไม่สามารถระบายออกมาให้ใครฟังได้ เกิดความว้าเหว่โดดเดี่ยวในชีวิต ก็จะยิ่งส่งผลต่อสุขภาพอีก เพราะฉะนั้นใครที่เจอปัญหาเหมือนในข้อนี้ แนะนำให้รีบไปอ่าน 10 วิธี โกยความสุข ก่อนที่จะมีริ้วรอยจากความเครียดแสดงบนใบหน้านะคะ เผื่อจะได้ข้อคิดอะไรๆบางอย่างเพิ่มขึ้นด้วย

อันตรายจากถ้วยกาแฟ คาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟนั้น มีทั้งคุณและโทษ ใครๆก็พอทราบกันดีว่าเวลาที่เราดื่มกาแฟ จะรู้สึกว่าร่างการตื่นตัว เพราะว่าคาเฟอีน มันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายของคุณปกป้องตัวคุณเอง พลังที่คุณได้รับก็คือพลังที่ร่างกายเก็บไว้ใช้ปกป้องตัวเองยามมีภัย ซึ่งทำให้ร่างกายของคุณตึงเครียด ซึ่งสารอะดรีนาลีน(Adenaline) จะหลั่งออกมามากจนหาทางบรรเทาได้ด้วยการออกแรงเท่านั้น แต่ถ้าคุณไม่ออกแรงความเครียดนั้นก็จะยังคงอยู่นานต่อไปอีกหลายชั่วโมงเลยหล่ะนะ แล้วถ้าความเครียดอยู่นาน ก็เท่ากับว่าปัจจัยเร่งความแก่อยู่นานขึ้นนั่นเองค่ะ

การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำกว่า 75 % เพราะฉะนั้นน้ำจึงเป็นสารหล่อลื่นที่ช่วยสร้างน้ำลายหรือของเหลวในดวงตาของคุณ และยังช่วยเรื่องการไหลเวียนโลหิตและการย่อยต่างๆ รวมทั้งมีหน้าที่ไปควบคุมระบบอุณหภูมิของร่างกายด้วย ดังนั้นน้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งแน่นอน ถ้าวันนี้คุณดื่มน้ำน้อยกว่า8-9แก้ว ก็ควรดื่มให้ถึงด้วยนะค่ะ เพราะนอกจากสุขภาพจะดีแล้วผิวพรรณต่างๆยังชุ่มฉ่ำดูอ่อนกว่าวัยเพราะผิวพรรณไม่แห้งเหี่ยวแลดูมีน้ำมีนวลนั่นเอง

เป็นยังไงกันบ้างค่ะ สรุปแล้วเพื่อนๆมีส่วนร่วมในการทำให้ตัวเองให้แก่ในข้อไหนบ้างเอ่ย รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าช่วยตัวเองเร่งความแก่เลยนะคะ หันมาดูแลตัวเอง เอาใจใส่ให้ตัวเองแลดูอ่อนเยาว์อยู่ตลอดเวลาดีกว่าค่ะ ส่วนเพื่อนๆที่อ่านบทความนี้แล้วเครียดกัน ผู้เขียนแนะนำให้หาวิธีคลายเครียดสัก 1-2 ข้อ ใน 10 วิธี โกยความสุขมาทำไปพลางๆก่อนนะคะ ผู้เขียนคิดว่าน่าจะช่วยเพื่อนๆได้บ้าง ไม่มากก็น้อยค่ะ ^^

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หลีกเลี่ยง 8 พฤติกรรมทำร้ายคุณ

1. การกัดเล็บ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ล้วนมีพฤติกรรมแบบนี้ได้ทั้งนั้น เวลาที่คุณกัดเล็บตัวเอง คุณรู้หรือไม่ว่า นอกจากเชื้อโรคที่จะเข้าไปในร่างกายของคุณแล้ว ยังแสดงออกถึงบุคลิกภาพ ของคุณที่ไม่น่ามองอีกด้วย

2. ละเลยสารกันแดด เวลาออกไปไหนมาไหน คุณก็ใช้ผิวพรรณ ของคุณเป็นเกราะกันแดดเพียงลำพัง ไม่หาอุปกรณ์เสริมให้พวกเขาเหล่านั้นเลย ทุกวันที่เราออกไปข้างนอกแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย กับรังสี UVA และ UVB รังสีพวกนี้นอกจากจะทำให้ผิวหมองคล้ำและดำได้ง่าย ยังก่อตัวเป็นมะเร็งสะสมในผิวหนังของคนเราทำให้เป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆต้องทาครีมกันแดดเวลาออกจากบ้านเพื่อป้องกันสิ่งเหล่านี้ อาจจะป้องกันได้ไม่ทั้งหมด แต่ก็ยังดีกว่ารับรังสีทั้ง 2อย่างนี้เต็มๆ

3. การบีบสิว บางคนเค้นเอาเป็นเอาตาย บีบแล้วกด กดไม่ออกก็งัดอยู่นั้นแหล่ะ หารู้ไม่ว่าคุณกำลังทำร้ายผิวของคุณอยู่ ซึ่งแผลหลังจากที่คุณบีบ จะกลายเป็นแผลเป็น ถ้าสิวเม็ดนั้นใหญ่ และ คุณบีบมันจนลึก กว่าจะหายได้ต้องใช้เวลานาน บางคนไม่หายกลายเป็นรอยแผลเป็นให้ช้ำใจเล่น หรือกลายเป็นจุดด่างดำไปเลย

4. ชอบเลียปาก การเลียปาก ส่วนมากทำกันโดยติดเป็นนิสัยมากกว่า แต่บางครั้งอากาศก็มีส่วน แต่การที่เราหาทางออกด้วยการเลียปากนั้น จะทำให้ปากเราแห้ง และแตกเป็นขุย เพราะอะไรนะเหรอค่ะ เพื่อนๆ ทราบไหมค่ะว่า น้ำลายคนเรานั้น มีเอนไซน์ทำให้ความชุ่มชื่นบนริมฝีปากแห้งลงกว่าเดิม รู้อย่างนี้แล้วเวลาปากแตก หรือ ปากแห้งให้หาลิปบาล์มมาใช้ซะ เพราะช่วยให้ริมฝีปากของคุณชุ่มชื่น เอาที่มีสารกันแดดด้วยยิ่งดี เพราะริมฝีปากเราถ้าโดนแดดมากๆ ก็จะคล้ำและดำ เหมือนคนดูดบุหรี่เลยหล่ะ และแนะนำอย่าใช้ ลิปบาล์ม ร่วมกับคนอื่น เพราะแทนที่จะดีใจเพราะปากหายแตก แต่กลับเครียดเพราะติดเชื้อโรค อย่างอื่นมาแทน...

5. บุหรี่ การสูบบุหรี่ นอกจากจะทำร้ายตัวผู้สูบแล้ว ยังทำร้ายผู้อื่นอีกด้วย เพราะสารเคมีที่ชื่อ คาร์บอนมอนอกไซด์และนิโคติน ที่อยู่ในควันบุหรี่ คือสิ่งที่ทำร้ายผิวคุณอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการไปทำลายสารอนุมูลอิสระ หรือทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน ที่มีอยู่ในตัวเรานั้น เมื่อสารเหล่านี้ไปสัมผัสกับร่างกายเราจะทำให้ผิวเกิดริ้วรอยก่อนวัย และขาดความยืดหยุ่นของผิวนั่นเอง

6. ขัดผิว บางคนคิดว่าการขัดผิวนั้นเป็นการผลัดเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไปแล้วก็จะได้เซลล์ผิวใหม่ที่ใสขึ้น แล้วก็จะขัดตามใจตัวเอง ไม่คำนึงถึงผิวตัวเองเลยว่า มันไม่ไหวแล้วนะ มีแต่ขัดไม่มีการบำรุงเลย ที่จริงการขัดผิวนั้นถ้าเป็นผิวหน้า ควรทำ แค่ สัปดาห์ ละ 1-2ครั้งก็พอแล้ว เพราะถ้าขัดเยอะไปเดี๋ยวผิวจะบางและแห้งกร้านได้ง่าย จะทำให้ไม่สามารถทนต่อแดดได้ ส่วนผิวกายก็เดือนละ 1-2 ครั้งก็พอ โดยขัดผิวในลักษณะวงกลมเบาๆ หลังจากขัดเสร็จก็ควรหาผลิตภัณฑ์ที่มี ส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์มาใช้เพื่อคงความชุ่มชื่นแก่ผิวของคุณด้วยนะคะ 

7.หลับคาเครื่องสำอาง การที่เพื่อนๆ เอาเครื่องสำอางไปไว้บนใบหน้า ก็ถือว่าเป็นภาระและหน้าที่ของ ใบหน้าที่จะแบกรับความอยากสวยอยากงามของคุณไว้ และก็แบกมันมาทั้งวัน บางคนอยากสวยแต่ไม่นึกถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังละเลยบ้างในบางครั้ง ผู้เขียนคิดว่าคงเคยมีแหล่ะที่เราหลับ โดยไม่ล้างเครื่องสำอางออกจากหน้าเราก่อนที่จะนอน ซึ่งทำให้ใบหน้าของคุณเกิดการอุดตันจากเครื่องสำอางที่คุณใช้นั่นแหล่ะค่ะ แล้วก็ตามมาซึ่งสิวและริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์มาทั้งวัน เพราะรองพื้นที่คุณ รองบนใบหน้านั้น จะก่อให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ ถ้าคุณไม่รีบล้างมันออก เพราะผิวหน้าของคุณแทบจะไม่ได้หายใจเลย เพราะเจ้าพวกเมกอัพทั้งหลายนี้เอง เพราะฉะนั้นแล้วหลังเลิกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ควรล้างหน้าให้สะอาดแล้ว ก็อย่าลืมบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์แล้วกันนะจ๊ะ(ง่วงแค่ไหนก็ไปที่อ่างล้างหน้าให้ได้ก่อน จะได้มีผิวที่สวยอยู่เสมอ)

8. ขยี้ตา เวลาคันหรือระคายเคืองตรงรอบดวงตาส่วนมากแล้วก็จะมัก ขยี้แรงๆ ให้หายจากอาการคัน แต่เพื่อนๆ รู้ไหมค่ะ ว่าดวงตาคนเราเป็นจุดที่บอบบางมาก แม้แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ยังต้องเลือกใช้เฉพาะเลย เวลาที่เราขยี้ตานั้น จะทำให้เลือดมาเลี้ยงเปลือกตามากกว่าปกติและทำให้เส้นเลือดแตกตรงใต้ผิวหนัง ซึ่งบริเวณใดที่เลือดมาเลี้ยงมากและเส้นเลือดแตก ทำให้ผิวรอบดวงตามีสีที่คล้ำได้เสมอค่ะ ดังนั้นเราควรหลีกเลี่ยงในการขยี้ตาโดยตรง อาจจะใช้วิธีลืมตาในน้ำก็ช่วยลดอาการระคายเคืองได้ค่ะ

8 พฤติกรรมทำร้ายคุณที่ได้กล่าวมานั้นเพื่อนๆคงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองหรอกจริงไหมค่ะ ทางที่ดีเลิกซะตั้งแต่วันนี้ ฝึกตัวเองให้เป็นนิสัยจะได้ใช้ชีวิตคู่กับสุขภาพดีๆไปตลอดกาลค่ะ

กลูตาไธโอน ที่คุณจัก ?

พอเห็นชื่อนี้คงคุ้นหูและคุ้นตาเพื่อนๆ หลายคนอยู่ไม่ใช่น้อย ยิ่งสาวๆ หลายคนถึงกับคลั่งไคล้เลยก็ว่าได้ ก็เพราะเจ้าสาร กลูตาไธโอน (Glutathione) ตัวนี้ช่วยให้ สาวๆมีผิวที่ขาว ขึ้นนั่นเองไงหล่ะคะ กลูตาไธโอ มีทั้งแบบกินแบบพ่นและแบบฉีด ส่วนมากก็นิยมแบบฉีดกัน บางคนก็ฉีดเจ้าสารตัวนี้เอง และบางคนก็เอาไปให้คนอื่นฉีดให้ ซึ่งแล้วแต่ว่าจะเป็นที่ไหน เพราะเมื่อเวลาที่มีการสั่งซื้อ สารตัวนี้มาแล้วนั้น ทางผู้ขายก็จะมีการแนะนำอย่างเช่นว่า ซื้อแล้ว ให้ไปฉีดที่ที่เขากำหนดให้ เพราะการฉีด กลูตาไธโอน (Glutathione) นั้นต้องฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ถ้าผู้ที่ไม่ชำนาญพอ ก็ไม่แนะนำให้ฉีดเอง สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่ร่างกายเรามีอยู่แล้ว ซึ่งการที่เราไปฉีดสารตัวนี้เพิ่มเข้าไปนั้น อาจมีผลกระทบต่อร่างกายเราได้ เพื่อนๆ อย่างลืมนะคะ ว่าอะไร ที่ให้คุณเราได้ก็ย่อมให้โทษเราได้เช่น กัน ศึกษาให้ดีก่อนทั้ง คุณ และ โทษ ของมัน ก่อนจะตัดสินใจ วันนี้เลย นำข้อมูลเกี่ยวกับสารตัวนี้มาให้เพื่อนๆ ได้ทำความเข้าใจกัน ค่ะ

1.ประโยชน์ของ “กลูตาไธโอน”
กระบวนการในร่างกายก็ไม่ต่างอะไรกับโรงงานผลิตสินค้า เมื่อมีการผลิตออกมาเยอะๆ ก็จะมีของเสียได้เหมือนกัน ดังนั้น เราก็ต้องมีวิธีกำจัดของเสียต่างๆ นี้ออกไป ถ้าเปรียบกับร่างกายของเรา ของเสียต่างๆ นี้เราเรียกว่าอนุมูลอิสระ ซึ่งถ้ามีอยู่ในร่างกายเรามาก ก็จะยิ่งส่งผลต่อเซลล์ในระบบร่างกายของเรา เพราะฉะนั้น ร่างกายเราจึงผลิตสารที่ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระนี้ขึ้นมา ชื่อ “กลูตาไธโอน”นั่นเอง ซึ่งความสามารถของสารชนิดนี้คือต่อต้านอนุมูลอิสระ และขับสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามิน C และ E ได้ดี เป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA และเป็นเกราะป้องกันให้ตับปลอดภัยจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย

2.ปัจจัยที่ร่างกายขาด “กลูตาไธโอน”
“กลูตาไธโอน” จริงๆนั้นมีอยู่ในร่างกายของคนเราทุกคน พบมากที่สุดคือตับ แต่ก็ จะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาเมื่อร่างกายได้รับสารพิษมาก จน กระทั่งตับผลิตสาร Glutatione ออกมาขับพิษไม่พอ จึงทำให้ร่างการเกิดการเสื่อมโทร นอนไม่หลับ หรือหลับแบบไม่สนิท ไม่กระปรี้กระเปร่า ผิวพรรณไม่ผุดผ่อง สิ่งต่างๆที่ทำให้ สารกลูตาไธโอนนี้ค่อยๆหายไปจากร่างกายของเราก็คือ การที่เราสูบบุหรี่ หรือออกกำลังกายหนักๆ รังสี XY และ UV,การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน การรับประทานยาแก้ไข้ เช่น พาราเซตามอล ฮอร์โมน estradiol (ฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดหนึ่งที่สร้างโดยรังไข่) ทำหน้าที่ขัดขวางการเผาผลาญแอลกอฮอล์ของตับ

3.ขาวจริงหรือ?
อันที่จริงเดิมแล้ว “กลูตาไธโอน” ทำให้ใครๆ รู้จักมาได้อย่างรวดเร็วนั้นก็เพราะ ครั้งหนึ่งเคยมีคุณหมอ นำสารชนิดนี้ไปใช้เพื่อรักษา กลุ่มคนที่เป็น โรคมะเร็ง และโรคเอดส์ แล้วทำให้อาการทั่วไปดีขึ้น โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเอดส์ ถึงแม้จะไม่หายจากโรคแต่ก็ช่วยเพิ่มระยะเวลาการแสดงอาการต่างๆ ออกไปได้ และสิ่งที่เห็นได้ชัด คือ กลุ่มคนที่ได้รับการรักษาด้วยสารชนิดนี้ มีผิวพรรณ และหน้าตาที่ดูสดใส เป็นประกายขึ้น ผิวขาวขึ้น จึงทำให้โด่งดังและเป็นที่รู้จักของผู้คนตั้งแต่นั้นมา 

ถ้าจะตอบคำถามว่า ทำให้ขาวได้จริงหรือนั้น จะขออธิบายเรื่องผิวของคนเราสักเล็กน้อยเพื่อจะได้เข้าใจมากขึ้น ปกติแล้วร่างกายของคนเรา จะมีเม็ดสีผิว หรือที่เรียกว่า เมลานิน ที่ต่างกันโดยพันธุกรรม คนทีมีเม็ดสีผิวขนาดใหญ่ก็จะส่งผลให้ผิวคล้ำเหมือนคนไทย ส่วนคนที่มีเม็ดสีผิวเล็กก็จะมีสีผิวที่ขาว เมลานีนมี 2 ชนิด คือ ยูเมลานิน (เม็ดสีขนาดใหญ่)และ ฟีโอเมลานิน (เม็ดสีขนาดเล็ก) และเมื่อนำสาร “กลูตาไธโอน” เข้าสู่ร่างกาย สารตัวนี้ก็จะไปปรับเปลี่ยนความปกติของร่างกายโดยไปกดการสร้างเม็ดสีผิวที่มีขนาดใหญ่กว่าให้เปลี่ยนเป็นสาร ฟีโอเมลานิน ซึ่งเป็นสารที่เล็กกว่า จึงทำให้ผิวขาวขึ้น แต่ก็แค่ชั่วขณะเท่านั้น ถึงอย่างไรโครงสร้าง พันธุกรรม ของคนเราเป็นสิ่งที่สาร“กลูตาไธโอน”ไม่สามารถไปปรับเปลี่ยนได้ เมื่อเวลาผ่านไป เซลล์เม็ดสีเมลานิน ต่างๆก็จะกลับสู่สภาวะเดิมของร่างกาย ทำให้คนที่ต้องการให้ผิวขาวอย่างสม่ำเสมอ จึงต้องฉีดหรือกิน หรือ รับเอาสารตัวนี้เข้าสู่ร่างกายของตัวเองอยู่เป็นประจำ

4.“กลูตาไธโอน”อันตรายหรือไม่
ปัจจุบัน “กลูตาไธโอน” อย.ยังไม่ได้รับรองสารตัวนี้ขึ้นทะเบียนในประเทศไทยเลย และตอนนี้ทางการแพทย์ยังได้ออกมาประกาศแล้วว่าสารตัวนี้เป็นสารที่อันตราย ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิด ในปริมาณที่เยอะ อีกทั้งยังผิดกฎหมายด้วยถ้าพบเจอสถาบันความงามใดๆ นำสารตัวนี้ฉีดหรือให้บริการผู้อื่นถือว่า มีความผิดตาม พรบ.ยา และความผิดฐานโฆษณาเกินจริง โทษคือ ปรับถึง 100,000 บาท และยังได้รับโทษจากการขายยาที่ไม่ได้รับรองทะเบียนจาก (อย.) มีโทษจำคุกไม่เกิน 3ปี ปรับไม่เกิน 5,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในฐานะหมอนั้นไม่ผิดเพราะเป็นยาที่ใช้รักษาคนที่เป็นโรคมะเร็ง และมีกฎหมายรองรับ แต่ต้องไปเอามาจากเมืองนอก ซึ่งการรักษาโดยใช้สายตัวนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคุณหมอและคนไข้ตกลงขอบเขตในการใช้และต้องเป็น กลูต้าไธโอน ของแท้ที่ผลิตจากประเทศนอก อย่างอเมริกา ไม่ใช่ที่อื่น เช่น เวียดนาม ที่สำคัญ คุณหมอต้องมีจรรยาบรรณ ไม่ควรนึกถึงเงินมากกว่า สุขภาพและความปลอดภัยของคนไข้ ซึ่งหากเป็นชนิดรับประทาน กำหนดให้ไม่เกิน 250 มิลลิกรัม/วัน แต่บางเว็บไชต์ มีการแนะนำให้รับประทานถึง 500-1,000 มิลลิกรัม/วัน ถือว่าสูงมาก และจะยิ่งอันตรายมาก เพราะไม่นึกถึงความปลอดภัยผู้ที่รับสารตัวนี้เข้าไป หวังเอากำไรอย่างเดียว

ยาวไหมล่ะค่ะเพื่อนๆ ใครที่ศึกษาเข้าใจบ้างแล้ว ก็คงตัดสินใจได้แล้วใช่ไหมค่ะว่า กลูต้าไทโอน นั้นสรุปดีหรือไม่ดี อันที่จริง ก็มีทั้งดีและไม่ดี ทางที่ดีสวยใส สไตล์ ที่คุณแม่ให้มานั่นแหล่ะ ชีวิตจะปลอดภัยดีที่สุด หรือไม่ก็อาศัยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เยอะๆ เพื่อคงไว้ซึ่งสารตัวนี้ยังไงหล่ะคะ จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินค่าความ อยากสวย ในราคาแพงๆ