วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทานปลาหมึก...เพื่อสุขภาพ

ทำไมถึงต้องเป็นเรื่องนี้ละคะเพื่อนๆ ทำไมต้องทำความรู้จักกับปลาหมึก แล้วเจ้าปลาหมึกมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องสุขภาพกับความงามของเพื่อนๆจริงไหมค่ะ ก็เพราะคนไทยยังเชื่ออะไรที่ผิดๆอยู่ยังไงละคะ แต่ผู้เขียนไม่ได้หมายถึงทุกคนนะคะ วันนี้ผู้เขียนจะขอแนะนำเพื่อนๆให้รู้จักกับปลาหมึกกันมากขึ้นอีกนิดนะคะ

โดยทั่วไปนั้นคนส่วนใหญ่มักคิดกันเสมอว่าการรับประทานอาหารทะเลนั้น จะทำให้ร่างกายได้รับคลอเรสเตอรอลสูง ไม่อยากจะไปเสี่ยงกับโรคความดัน หรือไขมันในเส้นเลือดที่ก่อให้เป็นโรคหัวใจได้ เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้วจึงไม่กล้าที่จะรับประทานอาหารทะเลเท่าไหร่ หรืออาจจะเลือกรับประทานในปริมาณที่น้อย ซึ่งก็มีปลาหมึกรวมอยู่ในอาหารประเภทนี้ด้วย ผู้เขียนเลยอยากให้เพื่อนๆทำความรู้จักกับปลาหมึกเสียใหม่ค่ะ

เพื่อนๆ ทราบกันไหมคะว่า ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานปลาหมึกสดๆกันมาก เพราะเขารู้ยังไงละคะว่าปลาหมึกมีคลอเรสเตอรอลสูง (เอ้า รู้ว่ามีแล้วยังจะรับประทานเข้าไปอีกแนะ) ยังอธิบายไม่จบคะ คนญี่ปุ่นเขารู้ว่ามีคลอเรสเตอรอลสูงก็จริง แต่เขาก็ยังรู้อีกว่า เจ้าปลาหมึกเนี่ยะยังมีโอเมก้า 3 ที่ช่วยต่อต้านคลอเรสเตอรอลไม่ให้เพิ่มขึ้น อีกทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างของการทำงานในส่วนสมอง ตับ และประสาท สังเกตจากผลวิจัยต่างๆ คนญี่ปุ่นไม่ค่อยมีใครเป็นโรคเกี่ยวกับคลอเรสเตอรอล หรือโรคความดัน, หรือโรคหัวใจเหมือนกับคนไทย ผู้ป่วยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ที่ทานปลาหมึก ยังมีผลพิสุจน์ออกมาว่ากรดไขมันโอเมก้า3 ในร่างกายนั้นลดลงอีกด้วยนะคะ

เห็นแล้วใช่ไหมคะเพื่อนๆ ว่าปลาหมึกนั้นมีกรดไขมันที่ช่วยในเรื่องสมองเราโดยตรงเลยทีเดียว อีกข้อหนึ่งถ้าเพื่อนๆสังเกตอะไรบางอย่าง ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงได้มีหน้าตาที่ดูอ่อนกว่าวัย ไม่เหมือนคนไทยเราบางคนที่อายุไปก่อนหน้าตา ไม่ใช่ทุกคนนะคะ ข้อนี้เป็นสมมุติฐานนะคะ ลองสังเกตดูได้คะ

อีกอย่างที่ผู้เขียนมีความคิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะครั้งหนึ่งเคยสงสัยว่ากินปลาหมึกเยอะๆ มันจะเป็นอะไรไหมนะ (กลัวจะตายเพราะปาก) เพราะตัวผู้เขียนเองเป็นคนที่ชอบกินปลาหมึก มั๊ก..มาก ตั้งแต่เด็กเลยละนะเท่าที่จำความได้ก็เริ่มจากหมึกแห้งก่อน ไม่ว่าไปที่ไหนก็จะเสาะแสวงหามันมาให้ได้ ขายอยู่มุมไหนก็จะตามไปซื้อ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คงเป็นเพราะคุณแม่ของผู้เขียนที่ปลูกฝังให้ตั้งแต่เด็กหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับนิสัยการกินของเราด้วย เพื่อนๆว่าจริงไหมคะ ต่อให้มีเยอะแค่ไหน ถ้าเราไม่ชอบก็คงไม่เลือกที่จะกินมันเป็นแน่ แต่ที่หนักสุดก็ตอนโตหลังอายุ 18 จนถึงปัจจุบันนี่แหล่ะคะ จัดหนักเรื่องของหมึกสดเลย แต่รับประทานสุกนะคะ เพราะว่าสมัยนั้นมันราคาถูกค่ะ

เอาหล่ะ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เพื่อนๆก็ทานปลาหมึกได้อย่างสบายใจกันแล้วนะคะ แต่ก็อย่าหักโหมทานนะคะ เพราะอะไรที่มากไปหรือน้อยไป ก็ใช่ว่าจะมีผลดีไปซะทุกอย่างค่ะ ที่สำคัญในการรับประทานปลาหมึก ต้องเลือกให้ดีนะคะ เพราะอาจจะมีสารต่างๆที่ทางผู้ขายใส่ลงไปด้วย เช่นปลาหมึกกรอบหรือจะเป็นปลาหมึกสดๆ จะมีสารฟอร์มาลีน โดยฝีมือของ”คน”นั้นเองคะ

ถ้ามองตามเรื่องจริงๆแล้ว ปลาหมึกไม่ใช่สิ่งที่ไปทำร้ายใครแต่มนุษย์เราเองนี่แหละนะ ที่ทำร้ายกันเอง เพื่อนๆว่าจริงหรือเปล่าค่ะ ยังไงก็เลือกทานเพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ อีกอย่างจะได้มีหน้าตาที่เต่งตึงบ่งบอกว่าคุณยังไม่แก่ยังไงละคะ (จริงๆนะ) ได้ทั้งสุขภาพและยังคงไว้ซึ่งความสวยงามของใบหน้าได้ด้วยค่ะ

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รอยแผลเป็น...ทำลายผิวสวย

ผู้เขียนเชื่อว่าหลายๆคนที่กำลังอ่านบทความเรื่องนี้อยู่คงเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องรอยแผลเป็นกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อยใช่ไหมค่ะ พูดถึงรอยแผลเป็นแล้ว เพื่อนๆคงทราบกันดีว่ารอยแผลเป็นต่างๆนั้นทำลายผิวของคุณให้หมดสวย จนกลายเป็นที่ต้องเป็นรอยแผลใจเราไปด้วยเลยละค่ะ

รอยแผลเป็นนั้นที่จริงระบบร่างกายของเราจะมีการผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอกอยู่แล้ว หรือเรียกว่าเซลล์ผิวหนังกำพร้า ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเมื่อผิวชั้นในได้ผลิตเซลล์ผิวใหม่ๆ ขึ้นมา เซลล์ผิวหนังกำพร้าก็หมดความสำคัญ (พูดซะหน้าน้อยใจ) เปล่าหรอกค่ะ หมายถึงว่าเขาหมดหน้าที่ในการปกป้องผิวของคุณแล้วและจะมีผิวหนังใหม่ที่มาทำหน้าที่ปกป้องคุณต่อไปเอง

การที่ทำไมคนเราจึงมีรอยแผลเป็น เพราะว่าผิวถูกทำร้ายจนถึงเซลล์ผิวชั้นลึก ทำให้ยากต่อการกลับมาเป็นผิวที่ปกติเหมือนเดิม สาเหตุต่างๆ เช่น แผลที่เกิดจากการโดนของมีคมบาด เกิดรอยแผลเป็นที่ลึก แต่เมื่อตอนที่โดนบาดนั้นแผลผ่านไปสัก 1-2 วัน ถ้าแผลไม่ลึกก็จะสมานได้เอง แต่ถ้าแผลลึกถึงชั้นผิวข้างในมาก ก็อาจจะต้องใช้เวลานาน บางคน 20 วัน- เดือนกว่าๆ เลยก็มี แต่แผลพวกนี้ ช่วงที่กำลังสมานปากแผล อาการหนึ่งที่เพื่อนๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนั้นก็คือ “คัน” แล้วก็อดไม่ไหวที่จะเกา แล้วเมื่อเกาหนักเข้า (ยิ่งเกายิ่งมัน ประมาณนั้น) ทำให้ปากแผลนั้นฉีกได้ แทนที่จะหายเร็วๆกลับต้องเริ่มใหม่อีก แล้วมือหรือเล็บ ที่สกปรกก็นำมาซึ่งเชื้อโรค 

เพื่อนๆรู้ไหมคะว่าเชื่อแบคทีเรียต่างๆ มีทั้งร้ายแรงและไม่ค่อยร้ายแรงแล้วถ้าโชคไม่ดีเจอเชื่อแบคทีเรียที่ร้ายแรง ก็ย่อมไปทำร้ายแผลของเราได้ คราวนี้ก็ไม่ต้องหายกันล่ะคะ เกิดรอยเป็นแผลเป็นไว้ให้เราคอยเตือนใจอีกต่างหาก จะได้จำไว้ว่าทีหลังอย่าได้เผลออีก อดทนหน่อยเพื่อให้ร่างกายได้ทำหน้าที่ของมันเอง ไม่ช่วยแล้วยังรุมทำร้ายผิวตัวเอง จึงนำมาซึ่งรอยแผลในใจยังไงล่ะคะเพื่อนๆ

เพราะฉะนั้นเพื่อนๆคนไหนที่อยากมีผิวสวยปราศจากริวรอยจากแผลเป็น ผู้เขียนแนะนำให้เพื่อนๆใช้ชีวิตอย่างระวังไม่ประมาทกับอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อนะคะ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็นำมาซึ่ง “แผลเป็น” ได้เสมอค่ะ

โดยเฉพาะเรื่องสิวก็เหมือนกันไม่ต้องไปแกะไปเค้น เดี๋ยวจะได้รอยแผลเป็นมาดูต่างหน้าเมื่อเจ้าสิวนั้นจากไปนะคะ ส่วนเพื่อนคนไหนที่เป็นแผลเป็นแล้วก็อย่าลืมหายามาทาเผื่อให้แผลเป็นเพื่อนๆดีขึ้น หรือทะเลาลงเพื่อผิวสวยของเพื่อนๆ นะคะ

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรื่องสิวๆ...ที่ไม่สิว

เป็นกันบ้างหรือเปล่าค่ะ “สิว” เพื่อนๆบางคนคงกำลังคิดว่าผู้เขียนเพี้ยนไปแล้ว ใครจะไม่เป็นสิว ถามอะไรแปลกๆ เหอะๆไม่แปลกหรอกคะที่ถามไปนั้นอยากให้เพื่อนๆได้คิดตามคำถามนะคะ อ๊ะ…ยังไง เริ่มสงสัยบ้างหรือยัง ถ้าสงสัยก็เชิญอ่านต่อได้เลยคะ

“เป็นกันบ้าง” ก็คือ ให้เป็นสิวกันบ้าง เพราะว่าร่างกายเรานั้นกำลังจะบอกอะไรนั่นเอง เพราะการเป็นสิวนั้นบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตของร่างกาย ซึ่งพอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นผู้หญิงหรือผู้ชายก็จะมีสิวขึ้นที่ผิวโดยเฉพาะผิวหน้า ที่เรียกกันว่าสิวสาวนั้นเองคะ แต่ที่ส่วนใหญ่ผู้หญิงมีสิวน้อยกว่าผู้ชาย 

เพราะว่าผู้หญิงเรานั้นมีการถ่ายเลือดในรอบเดือนที่เรียกว่าประจำเดือน ทำให้ช่วงที่ได้ถ่ายเลือดเสียและของเสียออกมาพร้อมๆกับประจำเดือนนั้น ทำให้ผิวพรรณของผู้หญิงดูมีน้ำมีนวลและเปล่งปลั่งและยังช่วยลดการเป็นสิวลงได้ด้วยคะ สังเกตได้เลยก่อนที่ประจำเดือนยังไม่มานั้น หน้านี้แทบไม่ต้องบรรยายเลยจริงไหมค่ะ 

ส่วนผู้ชายไม่ได้มีประจำเดือนเหมือนผู้หญิง แล้วจะทำยังไงได้แต่ผู้ชายเป็นเพศที่ต้องใช้กำลัง เมื่อร่างกายได้รับการเผาผลาญต่างๆ จากกิจกรรมทั้งวัน ทำให้ได้เหงื่อนั่นเอง จึงเป็นการขับสารพิษออกนอกร่างกายได้เช่นกันแต่ก็ได้ไม่มาก จึงทำให้ผู้ชายเป็นสิวเยอะกว่านั่นเองคะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้า การใช้ผ้าเช็ดหน้า มลภาวะของอากาศ รวมทั้งสภาพผิวที่มันด้วยค่ะ

เมื่อเป็นสิวจะทำยังไงดี ต่างก็เครียด ยิ่งสาวๆหรือหนุ่ม ที่แอบชอบใครยิ่งเป็นปัญหาใหญ่เลย อย่าไปวิตกคะ เพราะถ้าเรายิ่งเครียดยิ่งส่งผลต่อสภาพใบหน้าทำให้เป็นสิวเยอะขึ้นกว่าเดิม บางคนก็จะพยายามบีบ แกะ เค้นสิวให้หลุดออกไป 

ซึ่งนอกจากเพื่อนจะไม่หายแล้วสิวที่เม็ดเล็กๆในคราวนั้น อาจจะเป็นสิวแผลอักเสบตามมา กว่าจะหายได้ก็ต้องยืดเวลาออกไปอีกเผลอๆไม่หายธรรมดา ทิ้งท้ายด้วยการฝากรอยแผลเป็นและจุดด่างดำไว้ให้ดูต่างหน้า แสดงผลลัพธ์ให้เพื่อนๆได้รู้ถึงการไปกำจัดเขาออกจากผิว โดยที่มันยังไม่ถึงเวลาอันควร

แต่ถึงอย่างไรเมื่อเราอายุมากขึ้นนั้น สิวต่างๆที่เคยมีก็จะค่อยๆหายไป เพราะว่าร่างกายและฮอร์โมนต่างๆ ก็จะลดลงไปตามอายุเรานั้นเองคะ พอถึงเวลานั้นก็จะชอบเรียกร้องอยากเป็นสิวกัน เพื่อให้แสดงถึงว่าเรายังไม่แก่นะ ว่าไปนั่น (แต่มีคนที่เป็นแบบนั้นจริงๆ นะคะเพื่อนๆ พูดเป็นเล่นไป) เรื่องสำคัญตอนนี้ยังไม่แก่ก็ดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้สิวบนใบหน้าเราที่มีตอนอายุมากนั้นเป็นแค่แผลเป็นหรือ จุดด่างดำให้คร่ำครวญใจเล่น จึงเป็นที่มาของคำว่า...เรื่องสิวๆที่ไม่สิวนะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทำงานบ้านเพลิน Burn !! แคลอรี่

ถ้าขึ้นชื่อว่า “งานบ้านแล้ว” เพื่อนๆที่แห่งนี้ ไม่ทราบว่าชอบทำงานบ้านกันบ้างหรือเปล่าค่ะ หรือบางคนมัวแต่ทำงานจนแทบจะไม่มีเวลาในการดูแลเรื่องงานบ้านเลย อาจจะให้คนที่อยู่บ้านช่วยทำแทน (เป็นงั้นไป) หรือบางคนทำงานเหนื่อยมาทั้งสัปดาห์ พอถึงวันหยุดอาจจะมีเพียง 1-2 วัน ก็ต้องมานั่งทำงานบ้านหัวฟูเลยทีเดียว การทำงานบ้านนั้นอย่าทำจนหักโหมนะคะ ต้องค่อยๆทำ อย่าทำทั้งหมดเลยซะทีเดียว เดี๋ยวจะทำให้เรารู้สึกว่างานบ้านเป็นสิ่งน่าเบื่อ แล้วละเลยหรือเกี่ยงการทำงานบ้านไปเลยก็ว่าได้
วิธีจัดการกับ “งานบ้าน”

ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนไม่ค่อยได้มีเวลา ส่วนมากทำงานกว่าจะกลับบ้านก็เย็น และเหนื่อยกับงานมาทั้งวัน ทำให้ไม่ไหวที่จะทำงานบ้านต่อแค่นึกขึ้นมาว่าจะเริ่มจากตรงไหนก็แย่แล้ว ฉะนั้นคุณควรที่จะจัดตารางการทำงานบ้านเป็นวันๆไป อย่าทำทีเดียวนะคะ และการทำงานบ้านจะไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไปถ้าเพื่อนๆ รู้ถึงข้อดีและประโยชน์ของมันค่ะ

กวาดบ้าน เลือกทำในตอนกลางคืนก่อนอาบน้ำหลังกลับจากที่ทำงานก็ได้ค่ะ เพราะกวาดบ้านในเวลาตอนเย็นๆแล้ว ตกกลางคืนฝุ่นจะไม่ค่อยมี พอผ่านเวลากลางคืนไปบ้านก็จะยังคงสะอาดอยู่ อาจจะใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อช่วยทุ่นแรงเราด้วยก็ได้ค่ะ ทำแค่นี้เพื่อนๆก็สามารถ Burn พลังงานได้โดยประมาณ 376-752 แคลอรี่เลยนะคะ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆน้ำหนักตัวเท่าไหร่และเครื่องทุนแรงมีน้ำหนักมากแค่ไหนบวกกับการออกแรงด้วยคะ

ถูบ้าน เลือกทำตอนเช้าก่อนอาบน้ำ เพราะนอกจากจะเป็นการออกกำลังกายแล้วยังทำให้คุณกระปรี้กระเปร่า เลือดลมไหลเวียนได้ดี และรู้สึกตื่นตัวในการทำงานของวันใหม่อีกด้วยค่ะ การถูบ้านนั้นสมัยนี้ส่วนมากก็น่าจะยืนถู เพื่อนๆทราบหรือเปล่าค่ะว่า ร่างกายเราใช้พลังงานในการเผาผลาญ แค่เวลาครึ่งชั่วโมงที่เพื่อนๆถูบ้านด้วยวิธียืนถูนี้ ถึง 100-200 แคลอรี่เลยทีเดียวค่ะ ถ้าอยากให้เยอะกว่านี้ก็ คุกเข่าถูไปเลยโดยใช้มือค่ะวิธีนี้จะใช้พลังงานอยู่ที่ 111-222 แคลอรี่เลยแหล่ะ

การล้างจาน ข้อนี้แนะนำว่าเพื่อนๆไม่ควรแช่จานที่ใช้ใส่อาหารทิ้งไว้นะคะ เพราะจะเป็นการสร้างนิสัยให้เราขี้เกียจได้ แล้วแถมยังส่งกลิ่นเหม็นทำให้เสียบรรยากาศอีกด้วยค่ะ แต่ถ้าเป็นพวกสิ่งของที่ล้างยากก็ไม่จำเป็นต้องรีบล้างเดี๋ยวนั้น จะทำให้คุณเหนื่อยง่าย เพื่อนๆรู้หรือเปล่าค่ะว่าแค่ล้างจานร่างกายเราใช้พลังงานไปถึง 60-120 แคลอรี่ ต่อเวลาครึ่งชั่วโมงได้เลยนะคะ

ซักผ้า การซักผ้าสมัยนี้ส่วนมากก็จะเป็นเครื่องซักแทนซะมากกว่า คงไม่เหนื่อยกันเท่าไหร่ใช่ไหมค่ะเพื่อนๆ ทราบไหมค่ะว่าร่างกายเราใช้พลังงานตั้ง 70-100 แคลอรี่ ในการเผาผลาญพลังงานเลยทีเดียว ก็แค่แยกผ้า คลี่ผ้าตาก เอาผ้าใส่ถังแค่นี้เอง แต่จะใช้พลังงานเยอะกว่านี้ถ้าเพื่อนๆ ซักในปริมาณที่มากๆ และชอบทำอะไรเร็วๆ

การล้างรถ เรื่องแบบนี้น่าจะยกให้เพื่อนๆคุณผู้ชายนะคะ ร่างกายเราต้องการพลังงานในส่วนนี้ 150 แคลอรี่ ในการล้างรถครึ่งชั่วโมง ถ้าเพื่อนๆพอมีเวลาก็ควรจะลงแว็กซ์ขัดเงา เพื่อให้ร่างกายได้รับการเผาผลาญที่มากขึ้นก็ได้นะคะ (ถ้าไม่เหนื่อยนะ)

เห็นข้อดีของการทำงานบ้านกันหรือยังค่ะ ว่าสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้เยอะๆแค่ไหน นอกจากเพื่อนๆจะได้บ้านที่สะอาดเป็นระเบียบแล้วยังได้สุขภาพที่ดีด้วยค่ะ แม้แต่บางครั้งการที่เราเคลื่อนตัวไว เดินเร็ว ก็ช่วยในเรื่องนี้ได้ดี สังเกตจากคนที่อ้วนดูก็ได้ค่ะ ว่าส่วนมากเขาค่อยข้างจะเคลื่อนตัวช้าหรือชอบทำอะไรช้าๆ เอื่อยๆ ทำให้ร่างกายไม่ค่อยได้มีโอกาสเผาผลาญแคลอรี่ ต่างจากคนที่ผอมค่ะ เพราะในแต่ละวันคนเรารับประทานอาหารเข้าไปแล้วก็ควรที่จะเผาผลาญและนำไปใช้บ้างไม่อย่างนั้นจะเกิดการสะสมเยอะขึ้นทุกวันๆ เพราะการที่ร่างกายได้รับแคลอรี่มากกว่าปริมาณที่ใช้ไป แล้วมันจะไปไหนเสียละค่ะ แน่นอนค่ะเจ้าแคลอรี่นี้ก็ไปเกาะตามต้นแขน ต้นขา และหน้าท้องของเรานั่นเองค่ะ เห็นไหมค่ะเพื่อนๆ อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีใช่ไหมค่ะ งั้นเรามาเริ่มลดน้ำหนักด้วยการทำงานบ้านกันดีกว่าค่ะ แถมเรายังได้บ้านที่สะอาดกลับมาด้วยนะ

อาบน้ำอย่างไร...ให้ผิวสวย

ใครอ่านบทความนี้คงกำลังคิดอยู่แน่เลยใช่ไหมค่ะ ว่าการอาบน้ำง่ายจะตายแล้วทำไมต้องมีวิธีอาบด้วยเหรอ แล้วไม่ทราบว่าเพื่อนๆ แต่ละคนอาบน้ำกันวันละกี่ครั้งค่ะ เพราะประเทศไทยถือเป็นเมืองร้อน เราจึงต้องอาบน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายเพื่อให้ร่างกายสะอาดปราศจากเชื้อโรค ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ ซึ่งการอาบน้ำเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ด้วย ถ้าสงสัยเกี่ยวกับการอาบน้ำที่ถูกวิธีหล่ะก็ ในที่นี้ผู้เขียนจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะนะคะ ลักษณะแรกจะกล่าวถึงเรื่องของน้ำที่ใช้อาบค่ะ ส่วนลักษณะที่ 2 เกี่ยวกับวิธีการอาบน้ำค่ะ เชิญเพื่อนๆตามมาอ่านต่อได้เลยค่ะ

1.ประเภทของน้ำที่ใช้อาบ

- น้ำอุ่น เหมาะกับผู้ป่วยที่กำลังมีไข้ เพราะคนพวกนี้เจอน้ำเย็นไม่ได้เดี๋ยวไข้กลับ และคนที่มีผิวประเภทผิวธรรมดา และผิวมัน ส่วนคนที่มีผิวแห้งไม่ควรอาบน้ำอุ่นนะคะ และสำหรับคนที่จะอาบน้ำอุ่นก่อนอื่นเลย ควรดื่มน้ำก่อนอาบน้ำ 1แก้ว เพื่อเปิดรูขุมขนของร่างกาย น้ำอุ่นช่วยให้ความรู้สึกปลอดโปร่งทำให้มีสมาธิและจิตใจสงบ แต่ก็ไม่ควรอาบนานมาก ครั้งนึงอาบสัก 20 นาทีก็พอ เพราะจะทำให้ผิวแห้งและหัวใจเต้นเร็ว หลังจากที่อาบเสร็จก็ควรบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อช่วยทำหน้าที่ทดแทนความชุ่มชื่นของผิวที่หายไปเวลาเราอาบน้ำ

- น้ำเย็น ส่วนมากแล้วเมื่อเจออากาศที่ร้อนๆ เมื่อเจอน้ำที่เย็นๆ คุณก็รู้สึกว่ามันสดชื่นในเวลาที่ได้อาบ แต่ก็ควรปรับร่างกายให้ทันต่ออุณหภูมิของน้ำด้วยนะ โดยการที่เพื่อนๆให้แขนหรือขาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายค่อยๆสัมผัสกับน้ำก่อน แล้วค่อยอาบทั้งตัว น้ำเย็นสดชื่นกระตุ้นให้คุณรู้สีกว่าผิวมันเต่งตึงทันทีที่โดนน้ำเย็นๆ เพราะว่าการหมุนเวียนเลือดของเรานั่นเองที่จะรีบมาช่วยกันมาสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายเรา หลังจากนั้นก็ตามด้วยสบู่หรือครีมอาบน้ำถูเบาๆจากปลายเท้าขึ้นมาที่ท้อง และส่วนที่เป็นข้อต่อของกระดูกก็อาจจะใช้ครีมขัดผิวกายด้วยก็ดีค่ะ นวดและขัดทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีเพราะครีมเหล่านี้มีส่วนผสมของสมุนไพรให้ผิวของคุณได้ผ่อนคลายและยังมีกลิ่นที่หอมอีกด้วย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นผิวของคุณและลดความหยาบด้านลงได้ และหลังจากที่อาบเสร็จก็ลองยืดแขนยืดขาช้าๆดู เพราะจะช่วยให้รู้สึกดีทีเดียว

- น้ำร้อน จะช่วยให้การนอนหลับสนิทเพราะจะช่วยเพิ่มอุณหภูมิภายในร่างกาย ช่วยในเรื่องของความเหนื่อยล้าจากการทำงานมลภาวะต่างๆ รวมถึงความเครียดซึ่งน้ำร้อนจะช่วยให้คลายกล้ามเนื้อทุเลาสิ่งต่างๆเหล่านี้ ลงได้ จึงทำให้คุณได้ผ่อนคลาย หลังจากที่อาบน้ำร้อนเสร็จแล้วนั้นร่างกายเย็นลง เมื่อเราพักผ่อนก็จะนอนหลับได้อย่างสนิทแต่อย่าไปอาบนาน ใช้เวลาเพียง 10นาทีก็พอแล้ว เพราะน้ำร้อนมีผลต่อผิวที่เร็วทำให้ผิวเราแห้งเหี่ยวขาดความชุ่มชื่นได้ง่าย อาบเสร็จก็บำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ เหมือนเดิมเพื่อเรียกค่าความชุ่มชื่น ของผิวกลับมา

2.วิธีการอาบน้ำ

- อาบด้วยฝักบัว หลายๆ คนก็คงอาบโดยวิธีนี้ ซึ่งการอาบด้วยวิธีนี้ เราจะได้รับแรงกระตุ้นจากกระแสน้ำที่ไหลผ่านฝักบัวเป็นสายน้ำ ซึ่งเพื่อนๆทราบกับไหมค่ะว่า สายน้ำที่ไหลจากฝักบัวนั้นช่วยลดไขมันในร่างกายได้ เพราะยิ่งถ้าเราเปิดน้ำแรงๆ ก็จะช่วยให้สายน้ำไล่ไขมันมารวมกันได้ค่ะ และเรายังสามารถสร้างสปา ในห้องน้ำเผื่อผ่อนคลายให้ตัวเราได้ด้วยการ หาสมุนไพรนำมาติดกับฝักบัวเวลาที่เราเปิดน้ำอาบก็จะได้กลิ่นหอมๆฟุ้งออกมาด้วยค่ะ ช่วยผ่อนคลายไปอีกแบบส่งเสริมให้หน้าตาผิวพรรณตื่นตัวได้อีกด้วย

- อาบโดยอ่างแช่ตัว แต่แนะนำว่าไม่ควรไปแช่นานเพราะหนีไม่พ้นเรื่องผิวแห้งอีก ควรแช่แค่ประมาณ 10 นาทีก็ออกมาขัดผิวนอกอ่างดีกว่าค่ะ จะได้มีสุขภาพผิวที่ดีอยู่เสมอ การอาบน้ำแบบนี้ก็จะสามารถคลายกล้ามเนื้อที่ได้รับแรงดันจากน้ำได้ ทำให้รู้สึกสบายไปอีกแบบ แต่สู้การอาบด้วยฝักบัวหรือขันไม่ได้หรอกค่ะ เพราะผิวจะไม่เปล่งปลั่ง เนื่องจากว่าความร้อนทำให้ผิวหยุดผลัดเปลี่ยนเซลล์นั่นเอง เมื่อขัดผิวนอกอ่างอาบน้ำเสร็จแล้วก็เริ่มกลับไปแช่อีกครั้ง โดยเริ่มจากเท้าก่อน แล้วค่อยๆ ไล่ระดับมาที่กลางตัว รอให้ร่างกายค่อยๆ อุ่นขึ้น อาจจะมี ยกแขน ขา เพื่อบิดเอวไปมาบ้างเล็กน้อยเป็นการผ่อนคลาย และไล่ระดับไขมันรอบเอวออกไปด้วย เมื่อเราเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยนั้น แต่ร่างกายเราอยู่ในน้ำมวลน้ำที่อยู่ในอ่างจะเพิ่มอุณหภูมิขึ้นเล็กน้อย ทำให้เรามีเหงื่อไหล่ออกมาได้บ้างเป็นการขับสารพิษในร่างกายอีกวิธีหนึ่งเช่นกันค่ะ

เอาหล่ะ ไม่ว่าจะอยากอาบน้ำแบบไหนเพื่อนๆเลือกปฏิบัติได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำคือไม่ควรอาบเกินวันละ 2 ครั้งเพื่อ ป้องกันผิวแห้งค่ะ และเมื่อออกกำลังกายเสร็จควรพักให้เหงื่อแห้งเสียก่อนสัก 1ชั่วโมง แล้วค่อยไปอาบชำระร่างกายจะได้หายเหนื่อย ควรอาบน้ำก่อนรับประทานอาหาร 1 ชั่วโมง และหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง เพราะถ้าหากอาบน้ำทันทีระบบประสาทก็จะสั่งให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังมากขึ้น ซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพ ยังไงลองทำตามกันสักหน่อยเพื่อสุขภาพที่ดีของเรานะค่ะ

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความงามที่พอเพียง

บนโลกของมนุษย์เรานั้น คำว่าพอเพียง ยังใช้ได้กับทุกเรื่องไหมคะ ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า “ไม่”แล้วทำไมถึงคิดเช่นนี้ ก็ขออธิบายตามนี้แล้วกันคะ

ความงามที่พอเพียงนั้น จริงๆ ก็ใช้หลักของการใช้ชีวิตที่เพียงพอเข้ามาควบคู่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคนเรา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านผิวพรรณของหน้าตา ,แขน,ขา,สะโพก,เอว เล็บมือ ฯลฯซึ่งล้วนแต่เป็นความงามที่อยู่ภายนอกทั้งนั้น ซึ่งคนทุกคนก็จะไม่มองข้ามอะไรที่เป็นภายนอกของตัวเอง และจะมองหาสิ่งอื่นที่ช่วยให้ความงามภายนอกนั้นดูดีอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งที่มักจะมองหากันนั้นก็คือ วิวัฒนาการด้านความงามต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถตอบโจทย์ปัญหาต่างๆ ของผิวพรรณความงามสำหรับคนที่กำลังเสาะแสวงหาอยู่นั้นได้ดีทีเดียว อีกอย่างคนรอบข้างเราก็มีส่วนทำให้คนอีกกลุ่มกลายเป็นมนุษย์ศัลยกรรมไปแล้วนักต่อนัก

เพราะความงามยอมกันไม้ได้ จนทำให้คนเรานั้นลืมในสิ่งที่เราเองมีมาตั้งแต่เกิด คือความงามที่มาจากรากฐานของความพอเพียง และแทบไม่ต้องไปเสียเงินทีเยอะๆเหมือนสถาบันความงามด้วย เพียงแต่ มนุษย์เรานั้นมักจะเลงเห็นสิ่งที่มาไว มาเร็ว ได้ผลเร็ว จนมองข้ามสิ่งที่เป็นอยู่จริงของชีวิต หรือสิ่งที่ต้องใช้เวลาควบคู่แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งซึ่งควรรักษาไว้ แต่มักมองข้ามกัน แล้วก็พากันไปรับบริการต่างๆ ที่ทันสมัยกว่า ความงามแบบพอเพียงที่ว่านั้น ก็หมายถึง สุขภาพที่เราได้รับจากการใช้ชีวิตโดยพึ่งพาสมุนไพรพืชผักเป็นอาหารการอยู่การกิน รวมทั้งใช้ชีวิตในแต่ละวันให้คุ้มค่า ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและคนอื่นเสมอเหมือนที่บรรพบุรุษเราปฏิบัติกันในสมัยก่อน

คนสมัยก่อนนั้น ไม่รู้จักคำว่า ครีมบำรุงผิว เพราะคนในสมัยก่อนอยู่กับชีวิตที่พอเพียง อยู่กับสมุนไพรต่างๆ ที่ทำขึ้นมาใช้กันเอง ทั้งใช้ดูแลผิวพรรณภายนอกส่วนภายในใช้โดยเป็นผักรับประทาน ก็มี ทำให้คนสมัยก่อนนั้นมีร่างกายที่แข็งแรง ไปพร้อมๆกับผิวพรรณที่เปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา ยิ่งสาวๆ หรือหนุ่มแรกแย้ม (หมายถึงว่ากำลังแตกเนื้อ) ผิวพรรณยิ่งผุดผ่อง มองแล้วก็จะพูดกันว่า แตกเนื้อหนุ่มหรือแตกเนื้อสาว นั่นเอง

อยากให้เพื่อนๆ ทุกคน รู้จักดูแลตัวเองโดยพึ่งหลัก ความพอเพียง เหมือนคนในสมัยก่อนดูบ้าง ไม่จำเป็นที่เรานั้นจะต้องไปพึ่งพา สิ่งที่เข้ามาในรูปแบบใหม่ต่างๆ เหมือนดาราที่นิยมกัน เพราะดาราเขาต้องใช้หน้าตาในการทำงาน ต่างจากคนทั่วๆไป ซึ่งถ้าลองปรับเปลี่ยนมุมมองของชีวิต นอกจากจะไม่ต้องจ่ายเงินแพงๆ แล้วเพื่อนๆ ก็จะคงไว้ซึ่งแนวพระราชบัญญัติของพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย เป็นการสนองแนวความคิด ของท่านที่ได้ ตั้งโครงการที่ชื่อว่า ความพอเพียงในการใช้ชีวิต ขึ้นมานั่นเอง

ปัจจัย..เร่ง ! ความแก่

ความแก่ หรือความชรา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนต้องเจอ แต่ก่อนจะเจอสิ่งเหล่านี้ เพื่อนๆได้มีส่วนทำให้ตัวเองแก่เร็วขึ้นหรือเปล่าหล่ะค่ะ มาดูกันเลยค่ะ

ละเลยระบบภูมิคุ้มกันของตัวเอง ระบบภูมิคุ้มกันถือว่าเป็นด่านแรกเลยที่จะปกป้องและป้องกันโรคร้ายต่างๆ เข้ามาสู่ร่างกายของเรา ดังนั้นการดูแลในเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน จึงเป็นวิธีป้องกันความแก่สิ่งแรกเลยที่ไม่ควรละเลย ระบบภูมิคุ้มกันก็ประกอบด้วย

- การกินอย่างฉลาด สรรหาอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน A ,B,C , E และธาตุเหล็ก ,สังกะสี,แคลเซียม,เซเลเนียม,และแมกนีเซียม จำพวกนี้เป็นต้นค่ะ

- พักผ่อนให้เพียงพออย่านอนดึกและควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าออกมากเกินไป ต้องดูร่างกายตัวเองด้วย เดี๋ยวจะเจ็บป่วยได้

- ลดปริมาณของหวาน เพราะน้ำตาลที่มีอยู่ในร่างกายเรามากเกินไป จะทำให้เซลล์เม็ดเลือกขาวบกพร่องและขาดประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้

- ความสะอาด ต้องล้างมือให้สะอาดเสมอโดยเฉพาะเวลาที่ออกมาจากห้องน้ำ ใช้ช้อนส้อมในการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการใช้มือหยิบจับของกิน เพราะเชื้อโรคมีอยู่ทุกที่

- มองโลกในแง่ดี พึงจำไว้เสมอว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่สิ่งที่คุณทำลาย แต่เป็นสิ่งที่กำลังทำลายคุณ (ข้อนี้สำคัญนะคะ)

งานทำให้คุณแก่หรือเปล่า เพราะถ้างานที่ทำให้คุณมีความเครียดสูง (นี่เป็นตัวเร่งความแก่อีกตัว)คุณควรหลีกเลี่ยงงานประเภทนี้ ถ้าลองฝึกตัวเองมาหลายวิธีแล้วไม่หายก็ ควรหางานใหม่ดีกว่า เพราะถ้าคุณยังทนทำงานที่ทำให้คุณเครียดอยู่หล่ะก็ มันจะส่งผลกระทบไปที่ร่างกายคุณทำให้เสียสุขภาพจิต ไม่อยากจะไปไหนทำอะไรหรือแม้แต่การไปออกกำลังกาย เมื่อเครียดมากๆ บางคนหาทางออกโดยการสูบบุหรี่(ทำร้ายตัวเอง) บางคนก็เก็บตัวเองอยู่คนเดียวไม่สามารถระบายออกมาให้ใครฟังได้ เกิดความว้าเหว่โดดเดี่ยวในชีวิต ก็จะยิ่งส่งผลต่อสุขภาพอีก เพราะฉะนั้นใครที่เจอปัญหาเหมือนในข้อนี้ แนะนำให้รีบไปอ่าน 10 วิธี โกยความสุข ก่อนที่จะมีริ้วรอยจากความเครียดแสดงบนใบหน้านะคะ เผื่อจะได้ข้อคิดอะไรๆบางอย่างเพิ่มขึ้นด้วย

อันตรายจากถ้วยกาแฟ คาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟนั้น มีทั้งคุณและโทษ ใครๆก็พอทราบกันดีว่าเวลาที่เราดื่มกาแฟ จะรู้สึกว่าร่างการตื่นตัว เพราะว่าคาเฟอีน มันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายของคุณปกป้องตัวคุณเอง พลังที่คุณได้รับก็คือพลังที่ร่างกายเก็บไว้ใช้ปกป้องตัวเองยามมีภัย ซึ่งทำให้ร่างกายของคุณตึงเครียด ซึ่งสารอะดรีนาลีน(Adenaline) จะหลั่งออกมามากจนหาทางบรรเทาได้ด้วยการออกแรงเท่านั้น แต่ถ้าคุณไม่ออกแรงความเครียดนั้นก็จะยังคงอยู่นานต่อไปอีกหลายชั่วโมงเลยหล่ะนะ แล้วถ้าความเครียดอยู่นาน ก็เท่ากับว่าปัจจัยเร่งความแก่อยู่นานขึ้นนั่นเองค่ะ

การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำกว่า 75 % เพราะฉะนั้นน้ำจึงเป็นสารหล่อลื่นที่ช่วยสร้างน้ำลายหรือของเหลวในดวงตาของคุณ และยังช่วยเรื่องการไหลเวียนโลหิตและการย่อยต่างๆ รวมทั้งมีหน้าที่ไปควบคุมระบบอุณหภูมิของร่างกายด้วย ดังนั้นน้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งแน่นอน ถ้าวันนี้คุณดื่มน้ำน้อยกว่า8-9แก้ว ก็ควรดื่มให้ถึงด้วยนะค่ะ เพราะนอกจากสุขภาพจะดีแล้วผิวพรรณต่างๆยังชุ่มฉ่ำดูอ่อนกว่าวัยเพราะผิวพรรณไม่แห้งเหี่ยวแลดูมีน้ำมีนวลนั่นเอง

เป็นยังไงกันบ้างค่ะ สรุปแล้วเพื่อนๆมีส่วนร่วมในการทำให้ตัวเองให้แก่ในข้อไหนบ้างเอ่ย รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าช่วยตัวเองเร่งความแก่เลยนะคะ หันมาดูแลตัวเอง เอาใจใส่ให้ตัวเองแลดูอ่อนเยาว์อยู่ตลอดเวลาดีกว่าค่ะ ส่วนเพื่อนๆที่อ่านบทความนี้แล้วเครียดกัน ผู้เขียนแนะนำให้หาวิธีคลายเครียดสัก 1-2 ข้อ ใน 10 วิธี โกยความสุขมาทำไปพลางๆก่อนนะคะ ผู้เขียนคิดว่าน่าจะช่วยเพื่อนๆได้บ้าง ไม่มากก็น้อยค่ะ ^^